วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 11, 2548

เกี่ยวกับแม่

     เมื่อเดือน มิถุนายน แม่กลับมาเมืองไทยไปอยู่บ้านพี่ๆ ตูก็ไปนอนที่นั่นสองคืน ดูเหมือนแม่จะเจ้ากี้เจ้าการเรื่องแมวที่พี่เลี้ยงไว้ จากแมวที่เคยเข้าไปนอนให้ห้องกับพี่เป็นประจำ ต้องถูกไล่ออกให้ไปนอนนอกห้อง และบ่นหลายๆอย่างเกี่ยวกับเรื่องแมว ประมาณว่า ไม่ให้เอามาเลี้ยงอีก เพราะยังไม่พร้อม.....
     แต่ตูว่าตูเข้าใจเป็นอย่างดี กับสิ่งที่แม่บ่น เพราะตูก็อยู่กับสัตว์มาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน ตูเคยอยู่กับแมว อยู่กับหมามาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นที่มีหมาอยู่ตัวนึงชื่อไอ้ด่าง(ชื่อโหลชิบ) มันไม่ให้ใครจับเลย นอกจากตูคนเดียวเท่านั้น แม้กระทั่งคนเอาข้าวให้กินมันยังไม่ให้จับเลย รู้สึกภูมิใจเล็กๆอยู่เหมือนกัน อีกรายเป็นแมว ชื่อสีนิล มันมาคลอดลูกในผ้าห่มตอนตูหลับอยู่ แม่ง ต้องนอนเกร็ง กลัวทับลูกมันตาย และยังมีหมาหลายตัวที่พี่ๆซื้อหรือเอามาเลี้ยงแต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงเพราะย้ายไปอยู่ที่อื่น ตูก็ต้องนั่งดูหมาที่อาการซึมเศร้าเพราะคนที่เคยเลี้ยงมันทอดทิ้งมันไป มีตัวนึงชื่อไอ้จอห์น มันเซื่องซึมเพราะเจ้าของมันต้องไปเรียนที่เชียงใหม่ไม่กลับมาหามันซะที จนถึงขั้นมันตรอมใจตาย ถ้าใครมาอ่าน อยากให้พึงระลึกว่าหมากับแมวมีชีวิตจิตใจและอาจรักเรามากกว่าที่เรารักมันซะอีก

     แม่ก็เหมือนกันแม่เคยเล่าว่า แม่เคยเลี้ยงแมว ที่มันชอบแอบวิ่งตามแม่ไปที่ทำงาน แม่เป็นหมออนามัย ต้องขี่จักรยานไปทำงานจำไม่ได้ว่าแม่เล่าว่ากี่โล แต่ไกลโขพอดูทีเดียว โศกนาฏกรรมของแมวตัวนี้คือ มันชอบพันแข้งพันขาจนตารำคาญเอาประตูกระแทกตายโดยไม่ได้ตั้งใจ

     นอกจากนั้นแม่เคยเลี้ยงกระแต เนื่องจากแม่เป็นหมออนามัย และหมออนามัยสมัยนั้นเป็นที่รักนับถือจากชาวบ้านว่างั้นเหอะ ชาวบ้านจับกระแตได้มาจากป่า(ไม่ควรทำเป็นเยี่ยงอย่าง) แล้วเอามาให้แม่เลี้ยง แม่เลี้ยงจนมันเชื่องและเลี้ยงแบบปล่อยให้มันไปไหนต่อไหนได้ แม่บอกว่า ตอนกลางคืน มันจะมาเล่นผมแม่ ถึงเวลากินข้าว แม่จะเรียกมันว่า "แต...แต" มันก็จะวิ่งมากินข้าว
     มีอยู่วันนึงแม่เรียกมันกินข้าวเหมือนเดิม แต่มันไม่กลับมา มันหายไปนานมาก สักพักนึงแม่ก็เห็นมันคลานมา ในสภาพที่ดูไม่ได้ มันคลานมาด้วยขาหน้า พอมันคลานมาถึงแม่ แล้วแม่อุ้มมัน มันก็สิ้นใจตายในอุ้งมือของแม่ (แน่นอนแม่ต้องร้องไห้ ตูได้ฟังที่แม่เล่า ตูก็เศร้า) แม่เล่าว่าที่มันตายเพราะโดนหมาละแวกนั้นกัด

     ช่วง ปอ.5 พ่อป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่แม่ปิดบังลูกๆมาตลอด และโกหกว่า พ่อเป็นโรคโพรงจมูกอักเสบ หลังจากนั้นพ่อก็ตาย และอยู่ในช่วงที่กู้เงินสร้างบ้านและสร้างเสร็จพอดี แม่ต้องรับภาระเลี้ยงลูก 3 คน พร้อมด้วยจ่ายหนี้ค่าบ้าน ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ยอมรับว่าแม่เก่ง แต่ตูนี่แย่ ตูเป็นลูกคนเดียวที่เรียนไม่ยอมจบซะที ทำอะไรเหลวไหล ตูนี่แย่มาก แต่ตูอยากอธิบายว่าตูเคยใช้ชีวิตที่สุขสบายมาก่อน บางทีมันก็ปรับตัวยาก บางทีก็สับสนในชีวิต บางทีมันก็ผิดหวัง เพราะมันสับสนก็เลยทำตัวเหลวไหลลงไป แต่ตอนนี้จะเรียนให้จบให้ได้ เรียนครั้งใหม่นี้ ถ้าเป็นไปได้จะเอาเกียรตินิยมไปฝากแม่ ขอสัญญาว่าจะเรียนที่นี่ให้จบ(แต่ไม่สัญญาว่าจะได้เกียรตินิยมนะ)และในขณะที่เรียน ตูก็จะทำงานให้รวยๆให้ได้ ไม่ว่าใครจะว่าการทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยนั้นยาก ตูว่าตอนนี้ตูทำได้ ยังเอาอยู่ๆ...

     ประมาณ 7-8 ปีได้แล้วมั้ง ที่แม่ไปอยู่ฮ่องกง เคยอายเหมือนกันที่จะบอกใครว่าแม่ทำอะไร แต่ตอนนี้ไม่อายละ และภูมิใจที่จะเล่าแม่ทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาล คือเป็นคนดูแลคนไข้ คอยบำบัดและฉีดยาดูแลอาการให้คนไข้ที่เป็นคนแก่ และไม่อยากอยู่โรงพยาบาล ซึ่งลูกๆที่ทำงานไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่อะไรแบบนี้เป็นคนจ้างมา คงเพราะจ้างคนไทยนั้นถูกกว่าคนฮ่องกงล่ะมั้ง เหมือนกับคนไทยที่จ้างคนลาวคนพม่าไปเป็นคนใช้นั่นแหละ แต่อย่างว่า ทำงานเมืองนอก ค่าครองชีพสูงเลยได้เงินเดือนเยอะพอดู
     มีคนไข้รายนึงแม่เล่าให้ฟังเพราะแม่เครียดมั้งเลยโทรมาเล่า รายนี้เป็นแม่ของคนที่จ้างมา ลูกชายเค้าทำงานไม่ค่อยมีเวลาใส่ใจแม่เท่าไหร่ แม่ก็ดูแลเค้ามาเป็นปี วันนึงคนไข้อาการโคม่าแล้ว แม่(ของตู)โทรไปหาลูกชายเค้าบอกว่าให้รีบมาโรงพยาบาลด่วน แต่เค้าก็ไม่มาเค้าบอกว่าติดธุระ แม่อยู่เฝ้าดูอาการตลอดจนกระทั่งเค้าสิ้นใจ แม่โทรมาเล่าบอกว่าแม่ร้องไห้ทั้งคืน ตูได้ฟังแล้วตูก็เศร้า แต่คิดว่าแม่ต้องเศร้ามากกว่าหลายร้อยเท่า แม่บอกว่าทำให้นึกถึงพ่อ เพราะตอนพ่อตาย แม่จับมือพ่อจนวินาทีสุดท้ายเหมือนกัน ตอนพ่อตายน้ำตาพ่อไหลออกมาก่อนสิ้นใจ ไม่อยากคิดว่าถ้าเกิดขึ้นกับตัวเองจะเจ็บปวดแค่ไหน

     ในอนาคต ถ้าตูได้ตายในแบบที่พ่อตายหรือแบบกระแตของแม่ ซึ่งตายในอ้อมแขนของคนที่เรารักมันคงดีไม่น้อย ชีวิตนี้คงใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แล้วล่ะจะได้ไม่ตายอย่างเดียวดาย แต่ถ้าเราตายก่อนคนที่เรารัก ก็จะหมายถึงคนที่เรารักต้องอยู่อย่างเดียวดายเหมือนกัน เอาเป็นว่าขอเป็นคนตายหลังสุดละกัน จะได้ไม่ต้องห่วงคนที่อยู่ข้างหลัง จะได้ไม่กลายเป็นวิญญาณที่ห่วงคนข้างหลัง เอ๊ะ แล้วคิดไปถึงนั่นทำไม เราจะมีโอกาสแบบนั้นหรือเปล่าไม่รู้....

     สรุป...เวลาเลี้ยงสัตว์ ควรจะเลี้ยงเมื่อมีบ้านที่เป็นบ้านเดี่ยว ไม่ใช่ทาวน์เฮาส์หรือคอนโด และไม่ควรทิ้งให้มันอยู่เหงาๆตามลำพัง แต่ถามว่าเราควรเลี้ยงไหม ตูขอบอกว่า ถ้าเรามีบ้าน มีครอบครัว มีเวลา หรือมีลูก เราควรเลี้ยงมัน อย่างน้อยถ้าเรามีลูก ก็จะทำให้ลูกได้เข้าใจถึงความรัก เข้าใจถึงชีวิต เข้าใจถึงความอบอุ่นของการใช้ชีวิต เข้าใจถึงการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน เข้าใจถึงความเมตตา และรักโลกใบนี้มากขึ้น แล้วไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว (รู้สึกว่าสรุปคนละเรื่องกับเรื่องที่เล่านะ...)

ปล. วันนี้ดูต้มยำกุ้งมา ขอวิจารณ์ว่าโดยรวมแล้วดี ในโดยรวมนะ อย่าเอาส่วนน้อยมาคิดมาก เช่น การมี 3D อนิเมชั่นเห่ยๆเข้ามาแจม ...(ที่ว่าเค้าเห่ยนี่ทำไม่เป็นหรอกนะ แต่หนังไทยเกือบเทียบเท่าเมืองนอกได้แล้ว แต่อนิเมชั่นของไทยยังสู้เค้าไม่ไหวนะ อายเค้าเปล่าๆ)

4 Comments:

Anonymous ไม่ระบุชื่อ said...

ไอ้เบิ้นบ้า ลากมก..555 ..อ่านตั้งนาน อ่านแบบง่วงๆ แต่ก้ออ่านจบล้ะว้า..อยากกินหมูกะทะ เมื่อไหร่จะเลี้ยง รอกินฟรีอยุ่ เอิ้กๆ..

12/8/48 03:38  
Blogger PunNeng said...

นั่นดิพี่ ไปกินด้วยกันมะ

13/8/48 00:56  
Blogger GirlTear said...

อือ ... บลิวก็เลี้ยงม๋าบางแก้วอยู่

พ่อบลิวเลี้ยงไก่ชนเยอะมากๆเลยล่ะ

แต่แม่ง ... เสือกตายห่าไปหมด

เพราะไข้หวัดนก พ่อบลิวแม่งซึมไปเรย

พ่อรักไก่จะตายห่า รักชิบหาย แต่เวลา

เอาไปชน หรือตี พ่อจะไม่ทำ เพราะมันเจ็บ

พ่อเลี้ยงไว้เบิ่งเล่นๆ แก้เหงา เท่านั้น สงสารแฮะ

ส่วนเรื่องแม่ อ่านในบล็อกคงเข้าใจ หะหะ

เป็นกำลังใจให้ตาเหยิน เอาปริญญา

ไปฝากแม่ ให้แม่ชื่นใจเด้อ ...

ป.ล อย่าพูดเรื่องมู๋ทะ หรือ เอ็มเคกันดิ่วะ กุหิว

13/8/48 11:04  
Blogger Black-Pigeon said...

อะไรฟะเนี่ย เม้นอันบนนี้ มันคืออะไรฟะเนี่ย ใครก็ได้แปลให้ที

20/8/48 00:36  

แสดงความคิดเห็น

<< Home